พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 518) พ.ศ. 2554 การลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ ให้แก่ศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศและคนต่างด้าว
พระราชกฤษฎีกา ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ บางกรณี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 187 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 33 และมาตรา 41 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้ มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 518) พ.ศ. 2554” มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา 4 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ในการหักภาษี ณ ที่จ่ายและคงจัดเก็บในอัตราร้อยละสิบห้าของเงินได้ สำหรับเงินได้พึงประเมินที่คนต่างด้าวได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงานของศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ ซึ่งเมื่อคำนวณตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากรแล้วอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีในอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร สูงกว่าร้อยละสิบห้าของเงินได้ มาตรา 5 คนต่างด้าวซึ่งจะได้รับสิทธิตามมาตรา 4 ต้องปฏิบัติงานประจำศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 11 และมาตรา 12 ซึ่งมีรายได้ตามมาตรา 9 (1) และ (2) รวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของรายได้ตามมาตรา 9 (1) และ (2)และรายได้จากการจัดซื้อวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน ไม่ว่าในประเทศไทยหรือในต่างประเทศและขายวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนนั้นให้แก่วิสาหกิจในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเพื่อการผลิตที่ได้กระทำโดยวิสาหกิจในเครือดังกล่าว เป็นเวลาห้ารอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกันนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 10 โดยให้ได้รับสิทธิดังกล่าวในระหว่างการปฏิบัติงานในประเทศไทยเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่เกินห้าปี ไม่ว่าในระหว่างเวลานั้นจะได้เดินทางออกจากประเทศไทยเป็นครั้งคราวหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ เฉพาะผู้บริหารระดับสูงหรือผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเป็นจำนวนไม่เกินสามคนที่ศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศได้จดแจ้งต่อกรมสรรพากร ตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนดในกรณีที่ศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศขาดคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด ตามมาตรา 11 หรือมาตรา 12 หรือมีรายได้ตามมาตรา 9 (1) และ (2) รวมกันน้อยกว่าร้อยละห้าสิบของรายได้ตามมาตรา 9 (1) และ (2) และรายได้จากการจัดซื้อวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนไม่ว่าในประเทศไทยหรือในต่างประเทศและขายวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนนั้นให้แก่วิสาหกิจ ในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเพื่อการผลิตที่ได้กระทำโดยวิสาหกิจในเครือดังกล่าวในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้สิทธิตามมาตรา 4 ของคนต่างด้าวสิ้นสุดลงตั้งแต่ปีภาษีแรก และในกรณีที่คนต่างด้าวซึ่งได้รับสิทธิตามมาตรา 4 มิได้ปฏิบัติงานประจำศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศในปีภาษีใด ให้สิทธิตามมาตรา 4 ของคนต่างด้าวสิ้นสุดลงตั้งแต่ปีภาษีนั้น มาตรา 6 ให้คนต่างด้าวซึ่งถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้แล้วในอัตราร้อยละสิบห้าของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 4 เมื่อถึงกำหนดยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้พึงประเมินนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่คนต่างด้าวไม่ขอรับเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้นคืนหรือไม่ขอเครดิตเงินภาษีที่ถูกหักไว้นั้น ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน มาตรา 7 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่คนต่างด้าวซึ่งปฏิบัติงานประจำศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ สำหรับเงินได้ที่ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงานซึ่งเกิดจากการที่คนต่างด้าวนั้นถูกส่งตัวไปปฏิบัติงานในต่างประเทศ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่ศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศหรือวิสาหกิจในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยไม่นำเงินได้นั้นมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม มาตรา 8 คนต่างด้าวซึ่งจะได้รับสิทธิตามมาตรา 6 และมาตรา 7 ต้องปฏิบัติงานประจำศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 11 และมาตรา 12 เป็นเวลาห้ารอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกันนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 10 โดยให้ได้รับสิทธิดังกล่าวในระหว่างการปฏิบัติงานในประเทศไทยเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่เกินห้าปี ไม่ว่าในระหว่างเวลานั้นจะได้เดินทางออกจากประเทศไทยเป็นครั้งคราวหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ เฉพาะผู้บริหารระดับสูงหรือผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเป็นจำนวนไม่เกินสามคนที่ศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศได้จดแจ้งต่อกรมสรรพากร ตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด มาตรา 9 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ตาม (ก) ของ (2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละสิบห้าของกำไรสุทธิ ให้แก่ศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศเป็นเวลาห้ารอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกันนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกที่ได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้ สำหรับรายได้ดังต่อไปนี้ มาตรา 10 การนับรอบระยะเวลาบัญชีตามมาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 9 ให้นับรอบระยะเวลาบัญชี ดังต่อไปนี้ มาตรา 12 ศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศที่จะได้รับสิทธิตามมาตรา 9 ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปีที่สามเป็นต้นไป ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา 11 และต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ด้วย มาตรา 13 ในกรณีที่ปรากฏว่าศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศขาดคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 11 หรือมาตรา 12 ในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้สิทธิตามมาตรา 9 สิ้นสุดลงตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรก มาตรา 14 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้มีการจัดตั้งศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมการประกอบกิจการจัดซื้อและขายสินค้านอกประเทศไทยและสนับสนุนการประกอบกิจการจัดซื้อและขายวัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศไทยเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าของวิสาหกิจในเครือที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ อันจะเป็นการลดต้นทุนการผลิตสำหรับการซื้อขายสินค้า วัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนสำเร็จรูปภายในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ และเป็นการขยายฐานการลงทุนภาคธุรกิจอุตสาหกรรมจากต่างประเทศในประเทศไทย รวมทั้งสร้างบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย สมควรลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ ให้แก่ศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศและคนต่างด้าวที่ปฏิบัติงานในศูนย์ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้ (ร.จ. ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 128 ตอนที่ 31 ก วันที่ 4 พฤษภาคม 2554 |